ยุคนี้เป็นยุคของรถ EV หรือรถยนต์ที่ใช้งานระบบไฟฟ้ากัน 

      คนส่วนใหญ่ที่มองหารถใหม่กัน เริ่มมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจระหว่าง รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน รถยนต์ไฮบริด หรือรถไฟฟ้า 

เช็คลิตส์ที่เราควรประเมินก่อนการตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า

1.ราคารถยนต์แบบใช้น้ำมันกับราคารถไฟฟ้าที่ชอบ

       หากเรื่องราคาไม่ได้เป็นประเด็นสำหรับเรา ก็สามารถข้ามข้อนี้ไปได้ทันที ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคารถไฟฟ้า ก็ไม่แตกต่างมากนัก 

แต่สิ่งที่ต้องเช็คเพิ่มเติม คือประกันรถยนต์ เพราะรถไฟฟ้าค่าประกันค่อนข้างแพง ปีละ 40,000-50,000 บาท เรามีงบสำหรับเรื่องนี้ทุกปีมั้ย ???

2.ระยะทางการใช้งานต่อวัน หน่วยเป็นกิโลเมตร 

 ถ้าการใช้งาน 0-50 กิโลเมตร ต่อวัน ถือว่าใช้งานน้อย ยังไม่ค่อยจำเป็นที่จะเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า (แต่ถ้าชอบจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน )

ใช้งานมากกว่า 50 กิโลเมตร ต่อวัน ถือว่าการเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า เริ่มคุ้ม เพราะค่าน้ำมันปัจจุบัน ค่อนค้างสูง 

ส่วนคนที่เบิกค่าน้ำมันได้ รถแบบไหน ก็ไม่มีปัญหา 

3.การชาร์จ ระบบไฟฟ้า ราคาแบตเตอรี่ 

     สำคัญคือจุดที่อาศัยอยู่ สะดวกกับการติดตั้งระบบเพื่อชาร์จมั้ย ถ้าหากอยู่บ้านไม่ค่อยมีปัญาห แต่ถ้าหากอยู่คอนโด อพาร์ทเม้น ก็ต้องเป็นเรื่องคำนึง 

ราคาแบตเตอรี่ ถ้ามีประกันก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ควรเลือกบริษัทประกันที่ครอบคลุม และดูเหตุภายนอก ที่ทำให้ประกันไม่รับเคลม 

4.ราคาสำหรับขายต่อ 

    ต้องยอมรับว่า หากเป็นเมื่อก่อน เรามองรถเป็นทรัพย์สิน อย่างนึง เมื่อผ่อนหมดในเวลา 3-4 ปี เราก็สามารถขายต่อ เอาเงินมาใช้ในหลักแสนได้สบาย

แต่กรณีรถไฟฟ้า ราคาขายต่อแทบไม่มีราคา เพราะราคาแบตเตอรี่ที่สูงกว่า ราคาตัวรถ ฉะนั้น ทำใจได้เลย ว่าราคาขายต่อแทบจะเหลือแค่หลักหมื่น แน่นอน

5.รถไฟฟ้า ในมุมมองของกิจการรถเช่า 

    ในมุมมองของกิจการรถเช่า รถไฟฟ้ายังไม่สะดวกมากนัก เพราะการให้ลูกค้าเสียเวลาในการชาร์จ แทนที่จะเอาเวลาไปท่องเที่ยว ก็ดูเป็นการไม่คุ้มค่ามากนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เช่ารถเพื่อท่องเที่ยว ไม่ได้สนใจงบของค่าน้ำมันเท่าไหร่ ดังนั้น รถยนต์น้ำมันที่ประหยัดน้ำมันก็ยังตอบโจทย์ในเรื่องเวลาอยู่ดี